ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่ง[จักรวรรดิโรมัน] ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
18/12/51
4/12/51
ถ่านนาฬิกาความรัก
บ่อยครั้งที่ ความรัก ทำให้เราลืมไปในหลายๆ สิ่ง
ลืมว่า…เราเคยกินข้าวคนเดียว. . . โดยไม่รู้สึกเหงาเราถือกระเป๋าเองได้. . . โดยไม่รู้สึกหนักเคยเดินกลับบ้านคนเดียว. . . โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก
ยิ่งกับความรัก ที่คบกันเนิ่นนานยิ่งเนิ่นนาน ความผูกพันก็ยิ่งมากเมื่อความผูกพันเริ่มมาก ชีวิตเราก็มีแต่ความเคยชิน
เคยชินที่จะกินข้าวกับเขา ดูหนังกับเขาเดินกลับบ้านกับเขา โดยมีเขาเอื้อมมือมาถือกระเป๋าให้ความรัก ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงอ่อนแอลงหรอกแต่ความรัก มักทำให้ผู้หญิงลืมการใช้ชีวิตคนเดียว
ไม่ต่างจากนาฬิกาแขวนผนัง ที่เดินบอกเวลาไปเรื่อยๆโดยลืมไปว่าที่นาฬิกาเดินได้นั้น เพราะมีถ่านให้พลังงานอยู่ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าถ่านจะหมดเป็นไปได้…พอๆ กับความรักที่เคยมีมาจะหมดลง
ซึ่งถ้าวันที่ถ่านหมดมาถึงจริงๆถึงแม้สองเข็มนาฬิกาจะหยุดเดิน แต่เชื่อไหมว่า…เวลายังเคลื่อนไปเวลาบนโลกนี้ไม่ได้หยุดเหมือนสองเข็มนาฬิกาความรักที่หมดลงแล้วนั้น ก็เช่นกัน
ความรักหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า “ชีวิต” จะหมดชีวิตของเรา ยังก้าวเดินต่อไปได้เสมอ
อาจเหงาบ้าง ที่ต้องกลับมากินข้าวคนเดียว เดินคนเดียวอาจเจ็บปวดบ้าง ที่เบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยไม่ปรากฏบนหน้าจอบ่อยๆ อีกแล้วแต่เชื่อไหมว่า ก่อนหน้าที่ไม่มีเขา เราก็ยังอยู่อย่างมีความสุขได้
หากชีวิตคือนาฬิกา และ เข็มสองเข็มคือความรัก
มันก็ยังมีโอกาสที่จะใส่ถ่านความรักก้อนใหม่อยู่ทุกเวลา และเข็มสองเข็มก็ยังมีโอกาสเริ่มเดินต่อไปอีกครั้งหนึ่ง. . .
ลืมว่า…เราเคยกินข้าวคนเดียว. . . โดยไม่รู้สึกเหงาเราถือกระเป๋าเองได้. . . โดยไม่รู้สึกหนักเคยเดินกลับบ้านคนเดียว. . . โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก
ยิ่งกับความรัก ที่คบกันเนิ่นนานยิ่งเนิ่นนาน ความผูกพันก็ยิ่งมากเมื่อความผูกพันเริ่มมาก ชีวิตเราก็มีแต่ความเคยชิน
เคยชินที่จะกินข้าวกับเขา ดูหนังกับเขาเดินกลับบ้านกับเขา โดยมีเขาเอื้อมมือมาถือกระเป๋าให้ความรัก ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงอ่อนแอลงหรอกแต่ความรัก มักทำให้ผู้หญิงลืมการใช้ชีวิตคนเดียว
ไม่ต่างจากนาฬิกาแขวนผนัง ที่เดินบอกเวลาไปเรื่อยๆโดยลืมไปว่าที่นาฬิกาเดินได้นั้น เพราะมีถ่านให้พลังงานอยู่ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าถ่านจะหมดเป็นไปได้…พอๆ กับความรักที่เคยมีมาจะหมดลง
ซึ่งถ้าวันที่ถ่านหมดมาถึงจริงๆถึงแม้สองเข็มนาฬิกาจะหยุดเดิน แต่เชื่อไหมว่า…เวลายังเคลื่อนไปเวลาบนโลกนี้ไม่ได้หยุดเหมือนสองเข็มนาฬิกาความรักที่หมดลงแล้วนั้น ก็เช่นกัน
ความรักหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า “ชีวิต” จะหมดชีวิตของเรา ยังก้าวเดินต่อไปได้เสมอ
อาจเหงาบ้าง ที่ต้องกลับมากินข้าวคนเดียว เดินคนเดียวอาจเจ็บปวดบ้าง ที่เบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยไม่ปรากฏบนหน้าจอบ่อยๆ อีกแล้วแต่เชื่อไหมว่า ก่อนหน้าที่ไม่มีเขา เราก็ยังอยู่อย่างมีความสุขได้
หากชีวิตคือนาฬิกา และ เข็มสองเข็มคือความรัก
มันก็ยังมีโอกาสที่จะใส่ถ่านความรักก้อนใหม่อยู่ทุกเวลา และเข็มสองเข็มก็ยังมีโอกาสเริ่มเดินต่อไปอีกครั้งหนึ่ง. . .
พระจันทร์ยิ้ม
“ปรากฏการพระจันทร์ยิ้ม (Moon Smile)” คืนวันที่ 1 ธันวาคม 2551 มีเสียงตู๊ด ๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง 3 สาย แต่ละตู๊ดล้วนตู๊ดมาเกี่ยวกับเรื่องพระจันทร์ยิ้มทั้งนั้น ตู๊ดที่หนึ่งต้องการเอาไปแปะเป็นวอลเปเปอร์หน้าจอ ตู๊ดที่สองบอกว่าต้องการเอาไปอัดแล็ป เพราะเขาเกิดวันจันทร์และชอบจันทร์มาก ประมาณคลั่งไคล้ก้อว่าได้ ส่วนตู๊ดสุดท้ายมาบอกเฉย ๆ เพราะเห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่ควรพลาด และเผื่อว่าเราอาจไม่รู้ว่าคืนนี้กำลังมีจันทร์ยิ้ม เรารีบโผล่ไปที่หน้าต่างห้อง โอ้โห? ยิ้มบานแฉ่งจริงด้วย แต่ไม่มีขาตั้งกล้อง ใช้แขนขาของตัวเองค้ำยันกับผนังหน้าต่างเอาไว้และมีกล่องกระดาษเป็นฐานอุปกรณ์เสริมตั้งเป็นมุมประมาณ 45 ฮงศา ใช้คาง มือ แก้ม หน้า ร่วมด้วยช่วยกันดันกล่อง ลำบากมากด้วยเหตุผลเดียวว่าทำยังไงก้อได้ให้ฐานรากมั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่งก้อไม่ได้ ยืนก้อไม่ได้ สภาพคือหย่งโย่หย่งหยก น้องผู้หิวโหยบอกว่าท่าถ่ายภาพของเราขัดแย้งกับรอยยิ้มของจันทร์มากมาย สายกล้องคล้องไว้ที่คอ กล่องเปล่าตกลงไปเบื้องล่างก้อช่างมัน เราส่องด้วยเทเลสูงสุดที่พิกัด 240 มม. ถ้าใช้พิกัด 300 มม. จะพบว่าน้องดาวศุกร์และน้องดาวพฤหัสบดีหลุดออกจากจอเรด้า จากนั้นลดการซูมเป็นช่วง ๆ ไว้ด้วย ภาพที่ออกมาไม่ดีนัก แต่จากประสบการณ์บอกว่าพอจะนำไปอัดที่ขนาดใหญ่สักหน่อยสำหรับผู้คลั่งไคล้พระจันทร์ยิ้มได้
December 10 marks the Constitution Day which is held annually to commemorate the advent of the regime of Constitutional Monarchy in Thailand.
Previously, the government of Thailand was an absolute monarchy until June 24, 1932 there was a transition to constitutional monarchy led by a group of young intellectuals educated abroad and inspired by the concept of western democratic procedures. The group which was known as “People’s Party or Khana Rasdr” was led by Luang Pradit Manudharm (Pridi Panomyong). To avoid bloodshed, King Rama VII (King Prajadhipok) had prepared, even before being asked, to hand over his powers to the people.
All Thai constitutions, however, recognise the King as Head of State, head of the Armed Forces, Upholder of All Religions and sacred and inviolable in his person. His Majesty the King’s sovereign power emanates from the people and is exercised in three ways, namely; legislative power through the National Assembly, executive power through the Cabinet and Judicial power through the law courts.
Even though the Revolution of 1932 brought an end to the centuries old absolute monarchy, the reverence of the Thai people towards their kings has not been diminished by this change.
Portraits of Thai kings are prominently displayed throughout the kingdom. On Constitution Day, the entire nation is greeted with festivity. The government offices, private buildings and most high rises are decorated with national flags and bunting and are brightly illuminated. On this day, all Thai citizens jointly express their gratitude to the king who graciously granted them an opportunity to take part in government the country.
With permission from : Thanapol Chadchaidee. (1994). Essays on Thailand. Bangkok : Thaichareunkanpem.
5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน
กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน
3/12/51
มาใช้ "สีบำบัด" กันดีกว่า
การใช้สีบำบัดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ สีโทนร้อนและสีโทนเย็น
กลุ่มสีโทนร้อน สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง
สีเหลือง ช่วยระบบย่อยผักผลไม้ที่มีสีเหลืองจะอุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันไข้หวัด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต พลังของสีเหลืองจะช่วยให้การทำงานของน้ำดีและลำไส้ป็นปกติ ทั้งช่วยระบบย่อยอาหารอีกด้วย นอกจากนี้สีเหลืองยังช่วยบำบัดอาการท้อแท้ได้ด้วย
สีส้ม ช่วยหอบหืด
ผักผลไม้ที่มีสีส้มอุดมไปด้วยวิตามินบี ช่วยสร้างเม็ดเลือด เผาผลาญแป้งและน้ำตาล บำรุงระบบประสาท หากคุณต้องการเรียกความกระตือรือร้นให้กลับมา สีส้มเป็นสีที่คุณควรมองหา
สีแดง สร้างเม็ดเลือด
ผักผลไม้ที่มีสีแดงจะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ทองแดงและเหล็ก สีแดงมีอิทธิพลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และรักษาอาการหวัด หากเมื่อใดที่คุณหมดกำลัง สีแดงจะช่วยเรียกกำลังใจคุณคืนมาได้
สีม่วง ปรับสมดุลของร่างกาย
ผักผลไม้ที่มีสีม่วงจะมีวิตามินดีมาก ช่วยเพิ่มพลังงานปรับสมดุลในร่างกาย สามารบำบัดโรคไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคผิวหนังบางชนิดรวมไปถึงโรคไขข้อได้ด้วย หากคุณมีปัญหาต้องขบคิดแนะนำให้หาสีม่วงมาไว้ใกล้ ๆ ตัว
กลุ่มสีโทนเย็น - สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า
สีเขียว ลดเครียด
ผักผลไม้ที่มีสีเขียวจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญมากมาย โดยเฉพาะวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยสมานแผล ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เพิ่มความต้านทานโรค หากคุณต้องการผ่อนคลายความตึงเครียด สีเขียวเป็นตัวเลือกที่ดีที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้
สีน้ำเงิน ลดความดันโลหิตสูง
พลังของสีน้ำเงินจะส่งผลให้ระบบหายใจของเราเกิดความสมดุล ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ทั้งยังช่วยคลายความเหงาใจได้
สีฟ้า บรรเทาโรคปอด
พลังของสีฟ้าสามารถช่วยรักษาโรคปอด ลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน รักษาอาการเจ็บคอได้ด้วย
สีแต่ละสีมีพลังอำนาจเฉพาะตัว หากคุณอยากใช้วิธีสีบำบัด ควรศึกษาและเรียนรู้ถึงวิธีการใช้สีบำบัดอย่างถูกต้อง ก่อนนำไปใช้จริง
กลุ่มสีโทนร้อน สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง
สีเหลือง ช่วยระบบย่อยผักผลไม้ที่มีสีเหลืองจะอุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันไข้หวัด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต พลังของสีเหลืองจะช่วยให้การทำงานของน้ำดีและลำไส้ป็นปกติ ทั้งช่วยระบบย่อยอาหารอีกด้วย นอกจากนี้สีเหลืองยังช่วยบำบัดอาการท้อแท้ได้ด้วย
สีส้ม ช่วยหอบหืด
ผักผลไม้ที่มีสีส้มอุดมไปด้วยวิตามินบี ช่วยสร้างเม็ดเลือด เผาผลาญแป้งและน้ำตาล บำรุงระบบประสาท หากคุณต้องการเรียกความกระตือรือร้นให้กลับมา สีส้มเป็นสีที่คุณควรมองหา
สีแดง สร้างเม็ดเลือด
ผักผลไม้ที่มีสีแดงจะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ทองแดงและเหล็ก สีแดงมีอิทธิพลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และรักษาอาการหวัด หากเมื่อใดที่คุณหมดกำลัง สีแดงจะช่วยเรียกกำลังใจคุณคืนมาได้
สีม่วง ปรับสมดุลของร่างกาย
ผักผลไม้ที่มีสีม่วงจะมีวิตามินดีมาก ช่วยเพิ่มพลังงานปรับสมดุลในร่างกาย สามารบำบัดโรคไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคผิวหนังบางชนิดรวมไปถึงโรคไขข้อได้ด้วย หากคุณมีปัญหาต้องขบคิดแนะนำให้หาสีม่วงมาไว้ใกล้ ๆ ตัว
กลุ่มสีโทนเย็น - สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า
สีเขียว ลดเครียด
ผักผลไม้ที่มีสีเขียวจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญมากมาย โดยเฉพาะวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยสมานแผล ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เพิ่มความต้านทานโรค หากคุณต้องการผ่อนคลายความตึงเครียด สีเขียวเป็นตัวเลือกที่ดีที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้
สีน้ำเงิน ลดความดันโลหิตสูง
พลังของสีน้ำเงินจะส่งผลให้ระบบหายใจของเราเกิดความสมดุล ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ทั้งยังช่วยคลายความเหงาใจได้
สีฟ้า บรรเทาโรคปอด
พลังของสีฟ้าสามารถช่วยรักษาโรคปอด ลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน รักษาอาการเจ็บคอได้ด้วย
สีแต่ละสีมีพลังอำนาจเฉพาะตัว หากคุณอยากใช้วิธีสีบำบัด ควรศึกษาและเรียนรู้ถึงวิธีการใช้สีบำบัดอย่างถูกต้อง ก่อนนำไปใช้จริง
10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย
1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ ยืดกล้ามเนื้อทันทีหลังการออกกำลังกายแบบแอโรบิค การยืดกล้ามเนื้อขณะที่กล้ามเนื้อยังอบอุ่นและยืดหยุ่น จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บ
2. ใช้น้ำหนักมากเกินไปขณะยกน้ำหนัก อย่าพยายามยกน้ำหนักมากเกินกว่าขีดความสามารถของกล้ามเนื้อ การยกน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไปมีประโยชน์และปลอดภัยมากกว่ากับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
3. ไม่อบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย กล้ามเนื้อต้องมีการปรับตัวก่อนออกกำลังกาย จึงควรเริ่มออกกำลังกายช้า ๆ แล้วเพิ่มความหนักเมื่อร่างกายปรับตัวแล้ว
4. ไม่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย หลังการออกกำลังกายทุกชนิด ใช้เวลา 2 – 3 นาทีในการลดอัตราการเต้นของหัวใจและยืดกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมความยืดหยุ่นและเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกายอื่น ๆ
5. ออกกำลังกายหนักเกินไป การออกกำลังกายในระดับปานกลาง โดยใช้เวลาออกกำลังกายนาน มีประสิทธิภาพมากกว่าการออกกำลังกายอย่างหนัก โดยใช้ระยะเวลาเพียง 2 – 3 นาที
6. ดื่มน้ำน้อยเกินไป อย่ารอจนกระหายน้ำจึงดื่มน้ำ เพราะหมายความว่าขณะนั้นร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ พกกระติกน้ำติดตัวตลอดเวลาที่ออกกำลังกายและตลอดวัน
7. ทิ้งน้ำหนักบนเครื่อง Stairstepper มากเกินไป การทิ้งน้ำหนักลงบนเครื่อง Stairstepper อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ข้อมือและหลัง ลดความหนักของเครื่องจนถึงระดับที่คุณสามารถรักษาท่าทางได้ดี และสามารถวางมือบนที่พักมือได้โดยไม่ทิ้งน้ำหนัก
8. ออกกำลังกายเบาเกินไป ควรออกกำลังกายในระดับที่หนักพอให้เหงื่อออก และอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในอัตราที่เหมาะสมกับเป้าหมายของการออกกำลังกาย
9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก ในขณะที่คุณออกแรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก กล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ จะกระตุกไปด้วย และอาจทำให้กล้ามเนื้อตึง หรือบาดเจ็บได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังเป็นส่วนที่เปราะบางมาก ควบคุมน้ำหนักที่ยก อย่าให้น้ำหนักควบคุมคุณ!
10. ทาน Energy bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลาง
31/10/51
คำศัพท์ [Vocabulaire] :
- boulangerie (n.f.) = ร้านขายขนมปัง / boulanger (n.m.), boulangère (n.f.) = คนทำหรือขายขนมปัง
- Dis donc = เออนี่แนะ, แหมนี่..., บอกหน่อยซิ...
- tout à l'heure = เมื่อกี๊นี้, เมื่อสักครู่ที่แล้ว, อีกสักครู่
- peut-être (adv.) = บางที, อาจจะ...
- recevoir (v.) = ได้รับ, ต้อนรับ : J'ai bien reçu ta lettre. (ฉันได้รับจดหมายของเธอแล้ว) / Elle m'a très bien reçu. (หล่อนต้อนรับฉันอย่างดีมาก)
- secret, secrète (n. et adj.) = ความลับ, ที่ลับ : Je vais te confier un secret. (ฉันจะบอกความลับแก่เธอเรื่องหนึ่ง) / Elle met ses documents secrets dans un coffre. (หล่อนเอาเอกสารลับของหล่อนใส่ในหีบ)
- invisible (adj.) = ที่มองไม่เห็น : On entend l'avion, mais il reste invisible derrière les nuages. (เราได้ยินเสียงเครื่องบิน แต่เรามองไม่เห็นมันหลังก้อนเมฆ) # - visible (adj.) = ที่มองเห็นได้, ที่เห็นได้ชัด : Les microbes ne sont pas visibles à l'œil nu. (เชื้อโรคเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า) / Sa déception était visible. (เราเห็นได้ชัดถึงความผิดหวังของเขา) / visiblement (adv.) = อย่างเห็นได้ชัด : Visiblement, Yves n'a pas envie de venir. (เห็นได้ชัดเลยว่าอีฟไม่อยากมา) / visibilité (n.f.) = ทัศนวิสัย : Avec ce brouillard, la visibilité est nulle. (ทัศนวิสัยมีสภาพเป็นศูนย์ด้วยสภาพหมอกเช่นนี้)
- tenir (v.) = จับ, ถือ, ยึด : Qu'est-ce que tu tiens dans la main ? Montre-le-moi. (เธอถืออะไรอยู่ในมือ เอาให้ดูหน่อยซิ)
- revolver (อ่าน : เรอ-วอล-แวร์)(n.m.) = ปืนพก, ปืนสั้น : Un revolver c'est dangereux, il ne faut pas jouer avec !. (ปืนเป็นสิ่งอันตราย เราต้องไม่เล่นกับมัน)
- dangereux (adj.) = ที่อันตราย : Attention, ce croisement est très dangereux. (ระวัง ทางแยกนี้อันตรายมาก) / danger (n.m.) = อันตราย : Le blessé est hors de danger. (คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้ว)
- boulangerie (n.f.) = ร้านขายขนมปัง / boulanger (n.m.), boulangère (n.f.) = คนทำหรือขายขนมปัง
- Dis donc = เออนี่แนะ, แหมนี่..., บอกหน่อยซิ...
- tout à l'heure = เมื่อกี๊นี้, เมื่อสักครู่ที่แล้ว, อีกสักครู่
- peut-être (adv.) = บางที, อาจจะ...
- recevoir (v.) = ได้รับ, ต้อนรับ : J'ai bien reçu ta lettre. (ฉันได้รับจดหมายของเธอแล้ว) / Elle m'a très bien reçu. (หล่อนต้อนรับฉันอย่างดีมาก)
- secret, secrète (n. et adj.) = ความลับ, ที่ลับ : Je vais te confier un secret. (ฉันจะบอกความลับแก่เธอเรื่องหนึ่ง) / Elle met ses documents secrets dans un coffre. (หล่อนเอาเอกสารลับของหล่อนใส่ในหีบ)
- invisible (adj.) = ที่มองไม่เห็น : On entend l'avion, mais il reste invisible derrière les nuages. (เราได้ยินเสียงเครื่องบิน แต่เรามองไม่เห็นมันหลังก้อนเมฆ) # - visible (adj.) = ที่มองเห็นได้, ที่เห็นได้ชัด : Les microbes ne sont pas visibles à l'œil nu. (เชื้อโรคเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า) / Sa déception était visible. (เราเห็นได้ชัดถึงความผิดหวังของเขา) / visiblement (adv.) = อย่างเห็นได้ชัด : Visiblement, Yves n'a pas envie de venir. (เห็นได้ชัดเลยว่าอีฟไม่อยากมา) / visibilité (n.f.) = ทัศนวิสัย : Avec ce brouillard, la visibilité est nulle. (ทัศนวิสัยมีสภาพเป็นศูนย์ด้วยสภาพหมอกเช่นนี้)
- tenir (v.) = จับ, ถือ, ยึด : Qu'est-ce que tu tiens dans la main ? Montre-le-moi. (เธอถืออะไรอยู่ในมือ เอาให้ดูหน่อยซิ)
- revolver (อ่าน : เรอ-วอล-แวร์)(n.m.) = ปืนพก, ปืนสั้น : Un revolver c'est dangereux, il ne faut pas jouer avec !. (ปืนเป็นสิ่งอันตราย เราต้องไม่เล่นกับมัน)
- dangereux (adj.) = ที่อันตราย : Attention, ce croisement est très dangereux. (ระวัง ทางแยกนี้อันตรายมาก) / danger (n.m.) = อันตราย : Le blessé est hors de danger. (คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้ว)
หมวก
เครื่องหมายรูปหมวกของลังโคมมีความเป็นมาย้อนหลังไปยังปีค. ศ.1935 เมื่อครั้งที่อาร์มองด์ เปอติฌองกำลังมองหาชื่อที่มีการออกเสียงซึ่งให้ความรู้สึกเป็นฝรั่งเศสแท้ๆอย่าง “ วองโดม” (“Vendôme”) หรือ “ บรองโตม” (“Brantôme”) ผู้ช่วยคนหนึ่งของเขาเสนอคำว่า “ ลังโคม” (“Lancosme” ไม่ออกเสียงตัว “ เอส”) ซึ่งเป็นชื่อปราสาทในแคว้นลัวเร่ต์ หลังผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขาเห็นชอบที่จะเปลี่ยนตัวสะกดใหม่ โดยแทนที่อักษร” เอส” ด้วยการใส่เครื่องหมายรูปหมวกเหนือตัวอักษร “ โอ” และตราบทุกวันนี้ ชื่อนี้ยังคงทำหน้าที่แสดงความสดุดีต่อปฐมบทของแบรนด์ได้อย่างน่าภาคภูมิใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าธงผืนเล็กที่โบกสะบัดเหนืออาคารเครื่องสำอางนานาชาติ
ค. ศ. 1969 :
โอ (Ô) ได้กลายเป็นชื่อของ eau de toilette ลิ่นหอมสดใสซึ่งดูราวกลั่นออกจากใจลังโคม
ค. ศ. 1986 :
น้ำหอมนิโอโซม (Niosôme) ออกวางจำหน่าย ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยามค่ำ น็อคโตโซม (Noctosôme) ในอีกสามปีถัดมา ซึ่งล้วนมีเสียงคล้องจองกับคำว่าลังโคม
ค. ศ. 1987 :
โอ แองตองซ์ (Ô Intense) อีกหนึ่งอักษร ” โอ” ที่ยังคงสวมหมวกใบเล็กเช่นเดิม
ค. ศ. 1990 :
เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ไซคอส (Sicos) แหล่งผลิตเครื่องสำอางลังโคมซึ่งตั้งอยู่ที่โกดรี้ เมืองทาง เหนือของฝรั่งเศสในโอกาสเปิดดำเนินการมาครบ 20 ปี ไซคอสได้รับการประดับมงกุฏบนตัวอักษรโอ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น SICÔS
ค. ศ. 1995 :
เมื่อน้ำหอมโปแอ็ม (Poéme) ถือกำเนิดขึ้น หมวกใบเล็กก็จำต้องลาจากอักษรโอที่รัก และกระโดด ไปอยู่เหนืออักษรตัวถัดไปแทน ท้ายที่สุดแล้ว หรือนี่หาใช่บทกวีแต่เป็นเกมๆหนึ่ง?
ค. ศ. 1996 :
โอ ฟอร์ เม็น (Ô for Men) สัญลักษณ์ของความเป็นชายรวมพลังกับเครื่องหมายรูปหมวกเหนือตัว อักษรโอ เพื่อ eau de toilette กลิ่นใหม่สำหรับผู้ชาย
ค. ศ. 1997 :
กลุ่มผลิตภัณฑ์โซเลย (Sôleil) เครื่องหมายรูปหมวกเหนือตัวอักษรโอ ดูราวช่วยกำบังแสงแดดที่ กำลังแผดจ้ากลางฤดูร้อน และถูกนำมาใช้กับทุกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้
ค. ศ. 1998 :
โอ หวิ! (Ô Oui!) ฤดูร้อนมาเยือนอีกครั้ง พร้อมกับ Ô ที่สดใสขึ้น เอ่ยคำว่า ใช่เลย! กับ ความรัก ใช่เลย! กับชีวิต เครื่องหมายอัศเจรีย์เพิ่มความเร้าใจให้กับ Ô ตัวใหม่นี้
ค. ศ. 1969 :
โอ (Ô) ได้กลายเป็นชื่อของ eau de toilette ลิ่นหอมสดใสซึ่งดูราวกลั่นออกจากใจลังโคม
ค. ศ. 1986 :
น้ำหอมนิโอโซม (Niosôme) ออกวางจำหน่าย ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยามค่ำ น็อคโตโซม (Noctosôme) ในอีกสามปีถัดมา ซึ่งล้วนมีเสียงคล้องจองกับคำว่าลังโคม
ค. ศ. 1987 :
โอ แองตองซ์ (Ô Intense) อีกหนึ่งอักษร ” โอ” ที่ยังคงสวมหมวกใบเล็กเช่นเดิม
ค. ศ. 1990 :
เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ไซคอส (Sicos) แหล่งผลิตเครื่องสำอางลังโคมซึ่งตั้งอยู่ที่โกดรี้ เมืองทาง เหนือของฝรั่งเศสในโอกาสเปิดดำเนินการมาครบ 20 ปี ไซคอสได้รับการประดับมงกุฏบนตัวอักษรโอ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น SICÔS
ค. ศ. 1995 :
เมื่อน้ำหอมโปแอ็ม (Poéme) ถือกำเนิดขึ้น หมวกใบเล็กก็จำต้องลาจากอักษรโอที่รัก และกระโดด ไปอยู่เหนืออักษรตัวถัดไปแทน ท้ายที่สุดแล้ว หรือนี่หาใช่บทกวีแต่เป็นเกมๆหนึ่ง?
ค. ศ. 1996 :
โอ ฟอร์ เม็น (Ô for Men) สัญลักษณ์ของความเป็นชายรวมพลังกับเครื่องหมายรูปหมวกเหนือตัว อักษรโอ เพื่อ eau de toilette กลิ่นใหม่สำหรับผู้ชาย
ค. ศ. 1997 :
กลุ่มผลิตภัณฑ์โซเลย (Sôleil) เครื่องหมายรูปหมวกเหนือตัวอักษรโอ ดูราวช่วยกำบังแสงแดดที่ กำลังแผดจ้ากลางฤดูร้อน และถูกนำมาใช้กับทุกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้
ค. ศ. 1998 :
โอ หวิ! (Ô Oui!) ฤดูร้อนมาเยือนอีกครั้ง พร้อมกับ Ô ที่สดใสขึ้น เอ่ยคำว่า ใช่เลย! กับ ความรัก ใช่เลย! กับชีวิต เครื่องหมายอัศเจรีย์เพิ่มความเร้าใจให้กับ Ô ตัวใหม่นี้
ประวัติวันคริสต์มาส
คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
วันปล่อยผี
วันฮัลโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมของ ทุกปี วันนี้ ถ้าให้ตั้งชื่อเป็นภาษาไทย น่าจะเป็น “วันปล่อยผี” หรือไม่ก็ “วันป่าช้าแตก” คงจะเหมาะ วันนี้ ในสหรัฐอเมริกา เราจะเห็นแต่ผี (คนแต่งตัวเป็นผี) มากมายหลายร้อยจำพวก เดินอาละวาดกันเต็มเมืองไปหมด ผีเหล่านี้มักไม่มาเดี่ยว จะมาเป็นกลุ่ม มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ไม่น่ากลัว พอตกตอนเย็นๆ พวกผีตัวเล็กๆ ก็มักจะเที่ยวเคาะประตูชาวบ้าน ร้องแต่ว่า “ทริก ออร์ ทรีตๆๆ (trick or treat)” หรือ “หลอกแหลกแล้วแจกขนม” เจ้าของบ้านแต่ละบ้านก็เหมือน จะรู้ใจผีอยู่แล้ว เตรียมขนมจำพวกคุกกี้ ทอฟฟี่ ช็อกโกแลต หรือเศษเงินไว้ให้ พอผีมาเคาะประตู ก็จะได้รับแจกขนมหรือสิ่งของ แล้วผีก็จะยอมจากไปด้วยดี ว่ากันว่าเจ้าของบ้านหลังใดขี้เหนียว ไม่ยอมทำบุญกับผี อาจถูกผีแกล้งเอาได้ ตอนกลางคืนผีจะมาชุมนุมกันจัดปาร์ตี้ผี จะได้ยินเสียงผีร้องวี้ด...วี้ด และสรวลเสเฮฮา เป็นที่น่าสนุกสนานกันจนค่อนคืน
วันนี้ ถือเป็นวันที่สนุกสนานมากวันหนึ่ง บางเมืองอาจจัดงานฉลองใหญ่โต บางทีมีขบวนพาเหรด ตามโรงเรียน สถานที่ราชการ ห้างร้าน บริษัท นิยมจัดงานรื่นเริงกันตอนกลางวัน มีการ ร่วมรับประทานอาหาร เล่นเกม และประกวดการแต่งกายแฟนซี บางทีนิยมเล่นกันตอนเย็นๆ กับเพื่อนบ้าน งานรื่นเริงวันนี้ทุกคนนิยมแต่งกายให้เป็นผีประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว มีการเขียนหน้าตา ใส่หน้ากากที่แต่งเป็นประเภทอื่นๆ ไม่ใช่ผีก็มีบ้าง แต่เป็นจำนวนน้อย ท่านที่เคยชมภาพยนตร์ เรื่อง อีที (ET) คงจะจำกันได้ถึงฉากวันฮัลโลวีน ที่อีทีออกเที่ยวตระเวนกับเด็ก
เทศกาลฮัลโลวีนมีความเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงต้องแต่งตัวเป็นผี วันฮัลโลวีนเป็นเทศกาลที่เก่าแก่มากที่สุดวันหนึ่ง มีจุดเริ่มต้นมาจากงานเทศกาล แซมเฮน (Samhain) ของชาวเซลท์ (Celts) ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองไอร์แลนด์ เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว
ชาวเซลท์จะฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูเก็บเกี่ยว พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ และจะเริ่มต้นฤดูหนาวและกลางคืนที่ยาวนาน เซลท์เชื่อว่าก่อนวันขึ้น ปีใหม่หนึ่งวัน คือวันที่ 31 ตุลาคมนี้ โลกของคนเป็นกับโลกของคนตายจะมาซ้อนกันบางส่วน ดังนั้น วันนี้ คนที่ตายแล้วอาจจะเดินมาปะปนกับคนที่ยังมีชีวิต หรือวิญญาณของคนที่ตายแล้วอาจจะ กลับไปบ้าน ไปหาครอบครัว หรือไปในที่ต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาแก่คนเป็น คือก่อความตระหนกตกใจ หรืออาจทำลายชีวิตทรัพย์สิน เขาจึงต้องประกอบพิธีแซมเฮนนี้ขึ้น
เพื่อคุ้มครองพวกเขาให้รอดพ้นจากภูตผีปิศาจทั้งหลายดังกล่าว ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 43 โรมันได้เข้าครอบครองดินแดนของชาวเซลท์อยู่ ประมาณกว่า 400 ปี ชาวโรมันเองก็เลยร่วมฉลองเทศกาลแซมเฮนของชาวเซลท์ไปด้วย และได้ผสมผสานประเพณีต่างๆ ของตนเข้าด้วยกัน
ต่อมา ในสมัยที่คริสเตียนเรืองอำนาจ สันตะปาปา โบนิเฟซ ที่ 4 ได้ถือเอาวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันฉลองนักบุญ (All Saint's Day) ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ออล ฮัลโลเมสส์ All Hallowmesse (แปลว่าฉลอง นักบุญเหมือนกัน)
ดังนั้น ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน คือวันที่ 31 ตุลาคม จึงถือเป็นวัน All Hallow Eve ซึ่งถ้าออกเสียงเร็วๆ จะเป็น ฮัลโลวีน (Halloween) ก็เลยเรียกวันที่ 31 ตุลาคมว่า วันฮัลโลวีนตั้งแต่นั้นมา ส่วนประเพณีการแต่งกายเลียนแบบผี มีพื้นฐานมาจากความเชื่อเดิมของชาวเซลท์ที่ว่า ในวันนี้เวลาที่คนออกจากบ้าน อาจต้องเจอะเจอ กับผี ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้น คนจึงแต่งตัวให้เหมือนผี เพื่อผีจะได้ไม่ทำร้ายเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ปัจจุบันการแต่งกาย ในเทศกาลนี้ก็มีผิดเพี้ยนไปบ้าง คือ ไม่แต่งเป็นผีอย่างเดียว อาจแต่งเป็นแม่มด สัตว์ประหลาด นางฟ้า นักบุญ หรืออื่นๆ ด้วย
สำหรับประเพณีการเล่นก็เช่นกัน มีที่เพิ่ม เติมเข้ามาคือ ประเพณีการเล่นทริก ออร์ ทรีต (การเที่ยวเคาะประตูเพื่อนบ้านเพื่อขอขนม) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบเล่นกันทั่วไป โดยเฉพาะเด็กๆ การเล่นแบบนี้สันนิษฐาน ว่า มาจากความเชื่อที่ว่า วันนี้คนตายอาจจะเดินปะปนกัน ดังนั้น ผู้คนจึงมักจะประกอบอาหารและนำมาตั้งทิ้งไว้นอกบ้าน โดยมีจุดประสงค์ให้ผีหรือวิญญาณต่างๆ ที่อาจผ่านมาและหิวได้กินอาหาร และจะได้ไม่เข้ามารบกวนในบ้านนั่นเองสัญลักษณ์ของฮัลโลวีนมีมากมายหลายแบบ ส่วนใหญ่ออกแนวความ คิดเป็นพวกผีต่างๆ เป็นแม่มดขี่ไม้กวาด ปัจจุบัน เพิ่มเติมเป็นตัวการ์ตูนผีน้อยแคสเปอร์ เข้าไปด้วย นอกจากประเภท ผี 500 จำพวกแล้ว สัญ-ลักษณ์ที่นิยมแพร่หลายมากในอเมริกาคือ ฟักทอง ที่แกะเป็นหน้าคน (หรือหน้าผี) ยิ้มเห็นฟันหักๆ ที่ชาวอเมริกันนิยมตั้งประดับหน้าบ้านช่วงเทศกาลนี้ พอตกคํ่าก็จุดเทียน ข้างใน เห็นวอบๆ แวบๆ ดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว
ชาวยุโรปเองก็ใช้สัญลักษณ์นี้กับงานฮัลโลวีนมานานแล้ว แต่ใช้พวกมันฝรั่ง หัวบีท หรือหัวผักกาด เรียกกันว่า ตะเกียงของแจ๊ค (Jack O'Lantern) แต่เมื่อพวกนี้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอเมริกา ได้ใช้ผลฟักทองแทน เพราะฟักทองเป็นผลไม้ประจำถิ่น หาได้ง่าย ผลใหญ่ และสีสวยกว่า
เรื่องตะเกียงของแจ๊คนี้มีตำนานมาจากเทพ นิยายของชาวไอริชว่า ชายคนหนึ่งมีนามว่า แจ๊ค สมญา จอมขี้ตืดและเจ้าเล่ห์แสนกล วันหนึ่งเขาเชิญผีตนหนึ่งมาร่วมดื่มด้วย เมื่อดื่มเสร็จแล้ว แจ๊คเกิดเสีย ดายเงิน ไม่อยากจะจ่ายค่าเหล้า จึงออกอุบายให้ผีตนนั้นแปลงกายเป็นเหรียญให้ตนดู (เพื่อตนจะได้นำไปจ่ายค่าเหล้า) ผีตนนั้นหลงกล แปลงกายตามที่แจ๊คบอก แจ๊คก็รีบเก็บเหรียญนั้นเข้ากระเป๋าทันที แล้วเอาไม้กางเขนใส่กระเป๋าทับไว้อีกที เพื่อไม่ให้ผีแปลงกายกลับดังเดิมได้ ผีเมื่อรู้ว่าเสียที ได้ขอร้องให้แจ๊คปล่อยตนออกมา แต่แจ๊คไม่ยอมปล่อยต่อเมื่อผีได้ให้สัญญาว่า จะจ่ายค่าเหล้าและไม่เอาโทษ แจ๊คจึงได้ยินยอมให้อิสรภาพไป แต่ผีตนนั้นก็มิได้เข็ดหลาบ ยังคบหาเป็นเพื่อนกับแจ๊คต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง แจ๊คก็ออกอุบายขอให้ผีตนนั้นปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อเก็บผลไม้ ให้แก่ตนอีก ผีใจดีก็ทำให้ ขณะที่ผีกำลังเก็บผลไม้อยู่นั้น แจ๊คก็เอาไม้กางเขนไปติดที่ต้นไม้ อีก ทำให้ผีไม่สามารถลงจากต้นไม้ได้ ต้อง อ้อนวอนกันอยู่นาน ในที่สุด แจ๊คก็ขอให้ผีสัญญาว่า จะไม่โกรธเคือง เอาโทษ และแม้เมื่อแจ๊คตายเป็นผีไปแล้ว ก็จะไม่มาคิดบัญชีย้อนหลังด้วย ผีไม่มีหนทางเลือกจึงต้องยอมตกลง และตั้งแต่นั้นมา ผีตัวนั้นก็เกลียดชัง ไม่มายุ่งเกี่ยวกับอ้ายตัวร้ายแจ๊คนี้อีกเลย
จนกระทั่งหลายปีต่อมา เมื่อแจ๊คสิ้นชีวิตลง เทวดาไม่ยินยอมให้แจ๊คขึ้นสวรรค์ เพราะไม่มีคุณสมบัติดี พอที่จะอยู่ในสวรรค์ที่แสนสุขได้ ในขณะเดียวกัน ผีก็ยังเจ็บแค้นไม่ยอมให้แจ๊คลงนรก แจ๊คจึงไม่มีที่อยู่ ถูกปล่อยให้ระเหเรร่อนตระเวนอยู่กับความมืดและความหนาวเหน็บชั่วกัลปาวสาน มีแต่เพียงถ่านหิน ที่ติดไฟแล้วก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวเท่านั้นไว้เป็นเครื่องนำทาง แจ๊คเอาถ่านหินก้อนนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาด กลมที่แกะเอาเนื้อในออกบางส่วน และถือไปเหมือนไฟส่องทาง ได้รับความหนาวเย็นและ ทรมานแสนสาหัส และนี่คือเรื่องราวที่มาของตะเกียง หรือโคมไฟของแจ๊ค
ในไอร์แลนด์ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของเทศ-กาลฮัลโลวีน ก็ยังมีการฉลองวันสำคัญนี้อยู่ โดย เฉพาะในต่างจังหวัดยัง มีประเพณีการก่อไฟกองใหญ่กันอยู่บ้าง มีการจัดงานรื่นเริงเหมือนเดิม และยังเล่นเกมโบราณๆกันอยู่บ้าง เช่น เกมแข่งกันกัดลูกแอปเปิ้ลที่แขวน ไว้ เกมหาสมบัติ (ผู้ใหญ่ เอาขนมหรือของขวัญไปซ่อนไว้ และให้เด็กๆไปเที่ยวค้นหา) เกมเลือกไพ่ (เอาทอฟฟี่ หรือเงินซ่อนไว้ใต้ไพ่ ให้เด็ก ๆ เปิด ใครเปิดถูกก็ได้ของนั้นไป)
+ขนมประจำเทศกาลคือ เค้กผลไม้ ซึ่งภายในจะซุกซ่อนของบางอย่างไว้ ของเหล่านี้เป็นการเสี่ยงโชค หรือเป็นเครื่องทำนายทายทักของผู้ที่กินขนมชิ้นนั้น เช่น ใครได้ขนมชิ้นที่มีแหวน หมายถึงจะได้แต่งงาน ในไม่ช้า ใครได้ขนมชิ้นที่มีเศษฟาง หมายถึงจะรํ่ารวย ใครได้ขนมชิ้นที่มีสัญลักษณ์รูปเกือกม้าเล็กๆ หมายถึงโชคดี เป็นต้น
วันฮัลโลวีน แม้จะมีถิ่นกำเนิดในไอร์แลนด์ อังกฤษก็ตาม แต่การเฉลิมฉลองกลับไปแพร่หลายใน สหรัฐอเมริกา นิยมเล่นกันมาก จัดงานกันสนุกสนาน เอิกเกริก นับว่าเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญ ของปีเลยทีเดียว ว่ากันว่า สหรัฐอเมริกามีการใช้จ่ายเงินกันในเทศกาลนี้ (วันเดียว) ถึงประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯทีเดียว
วันนี้ ถือเป็นวันที่สนุกสนานมากวันหนึ่ง บางเมืองอาจจัดงานฉลองใหญ่โต บางทีมีขบวนพาเหรด ตามโรงเรียน สถานที่ราชการ ห้างร้าน บริษัท นิยมจัดงานรื่นเริงกันตอนกลางวัน มีการ ร่วมรับประทานอาหาร เล่นเกม และประกวดการแต่งกายแฟนซี บางทีนิยมเล่นกันตอนเย็นๆ กับเพื่อนบ้าน งานรื่นเริงวันนี้ทุกคนนิยมแต่งกายให้เป็นผีประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว มีการเขียนหน้าตา ใส่หน้ากากที่แต่งเป็นประเภทอื่นๆ ไม่ใช่ผีก็มีบ้าง แต่เป็นจำนวนน้อย ท่านที่เคยชมภาพยนตร์ เรื่อง อีที (ET) คงจะจำกันได้ถึงฉากวันฮัลโลวีน ที่อีทีออกเที่ยวตระเวนกับเด็ก
เทศกาลฮัลโลวีนมีความเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงต้องแต่งตัวเป็นผี วันฮัลโลวีนเป็นเทศกาลที่เก่าแก่มากที่สุดวันหนึ่ง มีจุดเริ่มต้นมาจากงานเทศกาล แซมเฮน (Samhain) ของชาวเซลท์ (Celts) ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองไอร์แลนด์ เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว
ชาวเซลท์จะฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูเก็บเกี่ยว พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ และจะเริ่มต้นฤดูหนาวและกลางคืนที่ยาวนาน เซลท์เชื่อว่าก่อนวันขึ้น ปีใหม่หนึ่งวัน คือวันที่ 31 ตุลาคมนี้ โลกของคนเป็นกับโลกของคนตายจะมาซ้อนกันบางส่วน ดังนั้น วันนี้ คนที่ตายแล้วอาจจะเดินมาปะปนกับคนที่ยังมีชีวิต หรือวิญญาณของคนที่ตายแล้วอาจจะ กลับไปบ้าน ไปหาครอบครัว หรือไปในที่ต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาแก่คนเป็น คือก่อความตระหนกตกใจ หรืออาจทำลายชีวิตทรัพย์สิน เขาจึงต้องประกอบพิธีแซมเฮนนี้ขึ้น
เพื่อคุ้มครองพวกเขาให้รอดพ้นจากภูตผีปิศาจทั้งหลายดังกล่าว ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 43 โรมันได้เข้าครอบครองดินแดนของชาวเซลท์อยู่ ประมาณกว่า 400 ปี ชาวโรมันเองก็เลยร่วมฉลองเทศกาลแซมเฮนของชาวเซลท์ไปด้วย และได้ผสมผสานประเพณีต่างๆ ของตนเข้าด้วยกัน
ต่อมา ในสมัยที่คริสเตียนเรืองอำนาจ สันตะปาปา โบนิเฟซ ที่ 4 ได้ถือเอาวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันฉลองนักบุญ (All Saint's Day) ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ออล ฮัลโลเมสส์ All Hallowmesse (แปลว่าฉลอง นักบุญเหมือนกัน)
ดังนั้น ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน คือวันที่ 31 ตุลาคม จึงถือเป็นวัน All Hallow Eve ซึ่งถ้าออกเสียงเร็วๆ จะเป็น ฮัลโลวีน (Halloween) ก็เลยเรียกวันที่ 31 ตุลาคมว่า วันฮัลโลวีนตั้งแต่นั้นมา ส่วนประเพณีการแต่งกายเลียนแบบผี มีพื้นฐานมาจากความเชื่อเดิมของชาวเซลท์ที่ว่า ในวันนี้เวลาที่คนออกจากบ้าน อาจต้องเจอะเจอ กับผี ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้น คนจึงแต่งตัวให้เหมือนผี เพื่อผีจะได้ไม่ทำร้ายเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ปัจจุบันการแต่งกาย ในเทศกาลนี้ก็มีผิดเพี้ยนไปบ้าง คือ ไม่แต่งเป็นผีอย่างเดียว อาจแต่งเป็นแม่มด สัตว์ประหลาด นางฟ้า นักบุญ หรืออื่นๆ ด้วย
สำหรับประเพณีการเล่นก็เช่นกัน มีที่เพิ่ม เติมเข้ามาคือ ประเพณีการเล่นทริก ออร์ ทรีต (การเที่ยวเคาะประตูเพื่อนบ้านเพื่อขอขนม) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบเล่นกันทั่วไป โดยเฉพาะเด็กๆ การเล่นแบบนี้สันนิษฐาน ว่า มาจากความเชื่อที่ว่า วันนี้คนตายอาจจะเดินปะปนกัน ดังนั้น ผู้คนจึงมักจะประกอบอาหารและนำมาตั้งทิ้งไว้นอกบ้าน โดยมีจุดประสงค์ให้ผีหรือวิญญาณต่างๆ ที่อาจผ่านมาและหิวได้กินอาหาร และจะได้ไม่เข้ามารบกวนในบ้านนั่นเองสัญลักษณ์ของฮัลโลวีนมีมากมายหลายแบบ ส่วนใหญ่ออกแนวความ คิดเป็นพวกผีต่างๆ เป็นแม่มดขี่ไม้กวาด ปัจจุบัน เพิ่มเติมเป็นตัวการ์ตูนผีน้อยแคสเปอร์ เข้าไปด้วย นอกจากประเภท ผี 500 จำพวกแล้ว สัญ-ลักษณ์ที่นิยมแพร่หลายมากในอเมริกาคือ ฟักทอง ที่แกะเป็นหน้าคน (หรือหน้าผี) ยิ้มเห็นฟันหักๆ ที่ชาวอเมริกันนิยมตั้งประดับหน้าบ้านช่วงเทศกาลนี้ พอตกคํ่าก็จุดเทียน ข้างใน เห็นวอบๆ แวบๆ ดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว
ชาวยุโรปเองก็ใช้สัญลักษณ์นี้กับงานฮัลโลวีนมานานแล้ว แต่ใช้พวกมันฝรั่ง หัวบีท หรือหัวผักกาด เรียกกันว่า ตะเกียงของแจ๊ค (Jack O'Lantern) แต่เมื่อพวกนี้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอเมริกา ได้ใช้ผลฟักทองแทน เพราะฟักทองเป็นผลไม้ประจำถิ่น หาได้ง่าย ผลใหญ่ และสีสวยกว่า
เรื่องตะเกียงของแจ๊คนี้มีตำนานมาจากเทพ นิยายของชาวไอริชว่า ชายคนหนึ่งมีนามว่า แจ๊ค สมญา จอมขี้ตืดและเจ้าเล่ห์แสนกล วันหนึ่งเขาเชิญผีตนหนึ่งมาร่วมดื่มด้วย เมื่อดื่มเสร็จแล้ว แจ๊คเกิดเสีย ดายเงิน ไม่อยากจะจ่ายค่าเหล้า จึงออกอุบายให้ผีตนนั้นแปลงกายเป็นเหรียญให้ตนดู (เพื่อตนจะได้นำไปจ่ายค่าเหล้า) ผีตนนั้นหลงกล แปลงกายตามที่แจ๊คบอก แจ๊คก็รีบเก็บเหรียญนั้นเข้ากระเป๋าทันที แล้วเอาไม้กางเขนใส่กระเป๋าทับไว้อีกที เพื่อไม่ให้ผีแปลงกายกลับดังเดิมได้ ผีเมื่อรู้ว่าเสียที ได้ขอร้องให้แจ๊คปล่อยตนออกมา แต่แจ๊คไม่ยอมปล่อยต่อเมื่อผีได้ให้สัญญาว่า จะจ่ายค่าเหล้าและไม่เอาโทษ แจ๊คจึงได้ยินยอมให้อิสรภาพไป แต่ผีตนนั้นก็มิได้เข็ดหลาบ ยังคบหาเป็นเพื่อนกับแจ๊คต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง แจ๊คก็ออกอุบายขอให้ผีตนนั้นปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อเก็บผลไม้ ให้แก่ตนอีก ผีใจดีก็ทำให้ ขณะที่ผีกำลังเก็บผลไม้อยู่นั้น แจ๊คก็เอาไม้กางเขนไปติดที่ต้นไม้ อีก ทำให้ผีไม่สามารถลงจากต้นไม้ได้ ต้อง อ้อนวอนกันอยู่นาน ในที่สุด แจ๊คก็ขอให้ผีสัญญาว่า จะไม่โกรธเคือง เอาโทษ และแม้เมื่อแจ๊คตายเป็นผีไปแล้ว ก็จะไม่มาคิดบัญชีย้อนหลังด้วย ผีไม่มีหนทางเลือกจึงต้องยอมตกลง และตั้งแต่นั้นมา ผีตัวนั้นก็เกลียดชัง ไม่มายุ่งเกี่ยวกับอ้ายตัวร้ายแจ๊คนี้อีกเลย
จนกระทั่งหลายปีต่อมา เมื่อแจ๊คสิ้นชีวิตลง เทวดาไม่ยินยอมให้แจ๊คขึ้นสวรรค์ เพราะไม่มีคุณสมบัติดี พอที่จะอยู่ในสวรรค์ที่แสนสุขได้ ในขณะเดียวกัน ผีก็ยังเจ็บแค้นไม่ยอมให้แจ๊คลงนรก แจ๊คจึงไม่มีที่อยู่ ถูกปล่อยให้ระเหเรร่อนตระเวนอยู่กับความมืดและความหนาวเหน็บชั่วกัลปาวสาน มีแต่เพียงถ่านหิน ที่ติดไฟแล้วก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวเท่านั้นไว้เป็นเครื่องนำทาง แจ๊คเอาถ่านหินก้อนนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาด กลมที่แกะเอาเนื้อในออกบางส่วน และถือไปเหมือนไฟส่องทาง ได้รับความหนาวเย็นและ ทรมานแสนสาหัส และนี่คือเรื่องราวที่มาของตะเกียง หรือโคมไฟของแจ๊ค
ในไอร์แลนด์ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของเทศ-กาลฮัลโลวีน ก็ยังมีการฉลองวันสำคัญนี้อยู่ โดย เฉพาะในต่างจังหวัดยัง มีประเพณีการก่อไฟกองใหญ่กันอยู่บ้าง มีการจัดงานรื่นเริงเหมือนเดิม และยังเล่นเกมโบราณๆกันอยู่บ้าง เช่น เกมแข่งกันกัดลูกแอปเปิ้ลที่แขวน ไว้ เกมหาสมบัติ (ผู้ใหญ่ เอาขนมหรือของขวัญไปซ่อนไว้ และให้เด็กๆไปเที่ยวค้นหา) เกมเลือกไพ่ (เอาทอฟฟี่ หรือเงินซ่อนไว้ใต้ไพ่ ให้เด็ก ๆ เปิด ใครเปิดถูกก็ได้ของนั้นไป)
+ขนมประจำเทศกาลคือ เค้กผลไม้ ซึ่งภายในจะซุกซ่อนของบางอย่างไว้ ของเหล่านี้เป็นการเสี่ยงโชค หรือเป็นเครื่องทำนายทายทักของผู้ที่กินขนมชิ้นนั้น เช่น ใครได้ขนมชิ้นที่มีแหวน หมายถึงจะได้แต่งงาน ในไม่ช้า ใครได้ขนมชิ้นที่มีเศษฟาง หมายถึงจะรํ่ารวย ใครได้ขนมชิ้นที่มีสัญลักษณ์รูปเกือกม้าเล็กๆ หมายถึงโชคดี เป็นต้น
วันฮัลโลวีน แม้จะมีถิ่นกำเนิดในไอร์แลนด์ อังกฤษก็ตาม แต่การเฉลิมฉลองกลับไปแพร่หลายใน สหรัฐอเมริกา นิยมเล่นกันมาก จัดงานกันสนุกสนาน เอิกเกริก นับว่าเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญ ของปีเลยทีเดียว ว่ากันว่า สหรัฐอเมริกามีการใช้จ่ายเงินกันในเทศกาลนี้ (วันเดียว) ถึงประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯทีเดียว
This article is about the capital of France. For other uses, see Paris (disambiguation).
Coordinates: 48°52′0″N 2°19′59″E / 48.86667, 2.33306
Paris
City flag
City coat of arms
Motto: Fluctuat nec mergitur
The Eiffel Tower (foreground) and the skyscrapers of Paris's suburban La Défense business district (background).
Location
Time Zone
CET (UTC +1)
Coordinates
48°52′0″N 2°19′59″E / 48.86667, 2.33306
Administration
Country
France
Region
Île-de-France
Department
Paris (75)
Subdivisions
20 arrondissements
Mayor
Bertrand Delanoë (PS)(2008-2014)
City Statistics
Land area¹
86.9[1] km²
Population²(Jan. 2006 estimate)
2,167,994
- Ranking
1st in France
- Density
24,948/km² (2006[1])
Urban Spread
Urban Area
2 723 km² (1999)
- Population
9,644,507 (1999)
Metro Area
14,518.3 km² (1999)
- Population
12,067,000 (2007)
1 French Land Register data, which excludes lakes, ponds, glaciers > 1 km² (0.386 sq mi or 247 acres) and river estuaries.
2 Population sans doubles comptes: residents of multiple communes (e.g. students and military personnel) only counted once.
Paris (pronounced /ˈpærɨs/ in English; [paʁi] (help·info) in French) is the capital of France and the country's largest city. It is situated on the river Seine, in northern France, at the heart of the Île-de-France region (also known as the "Paris Region"; French: Région parisienne). The city of Paris within its administrative limits (largely unchanged since 1860) has an estimated population of 2,167,994 (January 2006).[2] The Paris unité urbaine (or urban area) extends well beyond the administrative city limits and has an estimated population of 9.93 million (in 2005).[3] The Paris aire urbaine (or metropolitan area) has a population of nearly 12 million,[4] and is one of the most populated metropolitan areas in Europe.[5]
An important settlement for more than two millennia, Paris is today one of the world's leading business and cultural centres, and its influence in politics, education, entertainment, media, fashion, science and the arts all contribute to its status as one of the world's major global cities.[6] According to 2005 estimates by the PricewaterhouseCoopers accounting firm, the Paris urban area is Europe's biggest city economy,[7] and is fifth in the world's list of cities by GDP.[8]
The Paris Region, with US$731.3 billion, produced more than a quarter of the gross domestic product (GDP) of France in 2007.[9] The Paris Region hosts 37 of the Fortune Global 500 companies[10] in several business districts, notably La Défense, the largest purpose-built business district in Europe.[11] Paris also hosts many international organizations such as UNESCO, the Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD), the International Chamber of Commerce (ICC) and the informal Paris Club.
Paris is one of the most popular tourist destinations in the world, with over 30 million foreign visitors per year.[12] There are numerous iconic landmarks among its many attractions, along with world-famous institutions and popular parks.
Contents[hide]
1 Etymology
2 History
2.1 Beginnings
2.2 Middle ages
2.3 Nineteenth century
2.4 Twentieth century
2.5 Twenty-first century
3 Geography
3.1 Climate
4 Cityscape
4.1 Architecture
4.2 Districts and historical centres
4.2.1 City of Paris
4.2.2 In the Paris area
4.3 Monuments and landmarks
4.4 Parks and gardens
4.5 Cemeteries
5 Culture
5.1 Opera & theatre
5.2 Cuisine
5.3 Movies
5.4 Tourism
5.5 Sports
6 Economy
7 Demographics
7.1 Density
7.2 Paris agglomeration
7.3 Immigration
8 Administration
8.1 Capital of France
8.2 City government
8.3 Municipal offices
8.4 Capital of the Île-de-France région
8.5 Intercommunality
9 Education
9.1 Primary and secondary education
9.2 Higher education
9.3 Universities
9.4 Grandes écoles
10 Transportation
11 Water and sanitation
12 International relations
12.1 Sister city
12.2 Partner cities
13 See also
14 References
15 Further reading
16 External links
//
Coordinates: 48°52′0″N 2°19′59″E / 48.86667, 2.33306
Paris
City flag
City coat of arms
Motto: Fluctuat nec mergitur
The Eiffel Tower (foreground) and the skyscrapers of Paris's suburban La Défense business district (background).
Location
Time Zone
CET (UTC +1)
Coordinates
48°52′0″N 2°19′59″E / 48.86667, 2.33306
Administration
Country
France
Region
Île-de-France
Department
Paris (75)
Subdivisions
20 arrondissements
Mayor
Bertrand Delanoë (PS)(2008-2014)
City Statistics
Land area¹
86.9[1] km²
Population²(Jan. 2006 estimate)
2,167,994
- Ranking
1st in France
- Density
24,948/km² (2006[1])
Urban Spread
Urban Area
2 723 km² (1999)
- Population
9,644,507 (1999)
Metro Area
14,518.3 km² (1999)
- Population
12,067,000 (2007)
1 French Land Register data, which excludes lakes, ponds, glaciers > 1 km² (0.386 sq mi or 247 acres) and river estuaries.
2 Population sans doubles comptes: residents of multiple communes (e.g. students and military personnel) only counted once.
Paris (pronounced /ˈpærɨs/ in English; [paʁi] (help·info) in French) is the capital of France and the country's largest city. It is situated on the river Seine, in northern France, at the heart of the Île-de-France region (also known as the "Paris Region"; French: Région parisienne). The city of Paris within its administrative limits (largely unchanged since 1860) has an estimated population of 2,167,994 (January 2006).[2] The Paris unité urbaine (or urban area) extends well beyond the administrative city limits and has an estimated population of 9.93 million (in 2005).[3] The Paris aire urbaine (or metropolitan area) has a population of nearly 12 million,[4] and is one of the most populated metropolitan areas in Europe.[5]
An important settlement for more than two millennia, Paris is today one of the world's leading business and cultural centres, and its influence in politics, education, entertainment, media, fashion, science and the arts all contribute to its status as one of the world's major global cities.[6] According to 2005 estimates by the PricewaterhouseCoopers accounting firm, the Paris urban area is Europe's biggest city economy,[7] and is fifth in the world's list of cities by GDP.[8]
The Paris Region, with US$731.3 billion, produced more than a quarter of the gross domestic product (GDP) of France in 2007.[9] The Paris Region hosts 37 of the Fortune Global 500 companies[10] in several business districts, notably La Défense, the largest purpose-built business district in Europe.[11] Paris also hosts many international organizations such as UNESCO, the Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD), the International Chamber of Commerce (ICC) and the informal Paris Club.
Paris is one of the most popular tourist destinations in the world, with over 30 million foreign visitors per year.[12] There are numerous iconic landmarks among its many attractions, along with world-famous institutions and popular parks.
Contents[hide]
1 Etymology
2 History
2.1 Beginnings
2.2 Middle ages
2.3 Nineteenth century
2.4 Twentieth century
2.5 Twenty-first century
3 Geography
3.1 Climate
4 Cityscape
4.1 Architecture
4.2 Districts and historical centres
4.2.1 City of Paris
4.2.2 In the Paris area
4.3 Monuments and landmarks
4.4 Parks and gardens
4.5 Cemeteries
5 Culture
5.1 Opera & theatre
5.2 Cuisine
5.3 Movies
5.4 Tourism
5.5 Sports
6 Economy
7 Demographics
7.1 Density
7.2 Paris agglomeration
7.3 Immigration
8 Administration
8.1 Capital of France
8.2 City government
8.3 Municipal offices
8.4 Capital of the Île-de-France région
8.5 Intercommunality
9 Education
9.1 Primary and secondary education
9.2 Higher education
9.3 Universities
9.4 Grandes écoles
10 Transportation
11 Water and sanitation
12 International relations
12.1 Sister city
12.2 Partner cities
13 See also
14 References
15 Further reading
16 External links
//
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)