18/12/51

คริสต์มาส

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่ง[จักรวรรดิโรมัน] ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

4/12/51

ถ่านนาฬิกาความรัก

บ่อยครั้งที่ ความรัก ทำให้เราลืมไปในหลายๆ สิ่ง
ลืมว่า…เราเคยกินข้าวคนเดียว. . . โดยไม่รู้สึกเหงาเราถือกระเป๋าเองได้. . . โดยไม่รู้สึกหนักเคยเดินกลับบ้านคนเดียว. . . โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก
ยิ่งกับความรัก ที่คบกันเนิ่นนานยิ่งเนิ่นนาน ความผูกพันก็ยิ่งมากเมื่อความผูกพันเริ่มมาก ชีวิตเราก็มีแต่ความเคยชิน
เคยชินที่จะกินข้าวกับเขา ดูหนังกับเขาเดินกลับบ้านกับเขา โดยมีเขาเอื้อมมือมาถือกระเป๋าให้ความรัก ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงอ่อนแอลงหรอกแต่ความรัก มักทำให้ผู้หญิงลืมการใช้ชีวิตคนเดียว
ไม่ต่างจากนาฬิกาแขวนผนัง ที่เดินบอกเวลาไปเรื่อยๆโดยลืมไปว่าที่นาฬิกาเดินได้นั้น เพราะมีถ่านให้พลังงานอยู่ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าถ่านจะหมดเป็นไปได้…พอๆ กับความรักที่เคยมีมาจะหมดลง
ซึ่งถ้าวันที่ถ่านหมดมาถึงจริงๆถึงแม้สองเข็มนาฬิกาจะหยุดเดิน แต่เชื่อไหมว่า…เวลายังเคลื่อนไปเวลาบนโลกนี้ไม่ได้หยุดเหมือนสองเข็มนาฬิกาความรักที่หมดลงแล้วนั้น ก็เช่นกัน
ความรักหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า “ชีวิต” จะหมดชีวิตของเรา ยังก้าวเดินต่อไปได้เสมอ
อาจเหงาบ้าง ที่ต้องกลับมากินข้าวคนเดียว เดินคนเดียวอาจเจ็บปวดบ้าง ที่เบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยไม่ปรากฏบนหน้าจอบ่อยๆ อีกแล้วแต่เชื่อไหมว่า ก่อนหน้าที่ไม่มีเขา เราก็ยังอยู่อย่างมีความสุขได้
หากชีวิตคือนาฬิกา และ เข็มสองเข็มคือความรัก
มันก็ยังมีโอกาสที่จะใส่ถ่านความรักก้อนใหม่อยู่ทุกเวลา และเข็มสองเข็มก็ยังมีโอกาสเริ่มเดินต่อไปอีกครั้งหนึ่ง. . .

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!


พระจันทร์ยิ้ม


ปรากฏการพระจันทร์ยิ้ม (Moon Smile)” คืนวันที่ 1 ธันวาคม 2551 มีเสียงตู๊ด ๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง 3 สาย แต่ละตู๊ดล้วนตู๊ดมาเกี่ยวกับเรื่องพระจันทร์ยิ้มทั้งนั้น ตู๊ดที่หนึ่งต้องการเอาไปแปะเป็นวอลเปเปอร์หน้าจอ ตู๊ดที่สองบอกว่าต้องการเอาไปอัดแล็ป เพราะเขาเกิดวันจันทร์และชอบจันทร์มาก ประมาณคลั่งไคล้ก้อว่าได้ ส่วนตู๊ดสุดท้ายมาบอกเฉย ๆ เพราะเห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่ควรพลาด และเผื่อว่าเราอาจไม่รู้ว่าคืนนี้กำลังมีจันทร์ยิ้ม เรารีบโผล่ไปที่หน้าต่างห้อง โอ้โห? ยิ้มบานแฉ่งจริงด้วย แต่ไม่มีขาตั้งกล้อง ใช้แขนขาของตัวเองค้ำยันกับผนังหน้าต่างเอาไว้และมีกล่องกระดาษเป็นฐานอุปกรณ์เสริมตั้งเป็นมุมประมาณ 45 ฮงศา ใช้คาง มือ แก้ม หน้า ร่วมด้วยช่วยกันดันกล่อง ลำบากมากด้วยเหตุผลเดียวว่าทำยังไงก้อได้ให้ฐานรากมั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่งก้อไม่ได้ ยืนก้อไม่ได้ สภาพคือหย่งโย่หย่งหยก น้องผู้หิวโหยบอกว่าท่าถ่ายภาพของเราขัดแย้งกับรอยยิ้มของจันทร์มากมาย สายกล้องคล้องไว้ที่คอ กล่องเปล่าตกลงไปเบื้องล่างก้อช่างมัน เราส่องด้วยเทเลสูงสุดที่พิกัด 240 มม. ถ้าใช้พิกัด 300 มม. จะพบว่าน้องดาวศุกร์และน้องดาวพฤหัสบดีหลุดออกจากจอเรด้า จากนั้นลดการซูมเป็นช่วง ๆ ไว้ด้วย ภาพที่ออกมาไม่ดีนัก แต่จากประสบการณ์บอกว่าพอจะนำไปอัดที่ขนาดใหญ่สักหน่อยสำหรับผู้คลั่งไคล้พระจันทร์ยิ้มได้


December 10 marks the Constitution Day which is held annually to commemorate the advent of the regime of Constitutional Monarchy in Thailand.
Previously, the government of Thailand was an absolute monarchy until June 24, 1932 there was a transition to constitutional monarchy led by a group of young intellectuals educated abroad and inspired by the concept of western democratic procedures. The group which was known as “People’s Party or Khana Rasdr” was led by Luang Pradit Manudharm (Pridi Panomyong). To avoid bloodshed, King Rama VII (King Prajadhipok) had prepared, even before being asked, to hand over his powers to the people.
All Thai constitutions, however, recognise the King as Head of State, head of the Armed Forces, Upholder of All Religions and sacred and inviolable in his person. His Majesty the King’s sovereign power emanates from the people and is exercised in three ways, namely; legislative power through the National Assembly, executive power through the Cabinet and Judicial power through the law courts.
Even though the Revolution of 1932 brought an end to the centuries old absolute monarchy, the reverence of the Thai people towards their kings has not been diminished by this change.
Portraits of Thai kings are prominently displayed throughout the kingdom. On Constitution Day, the entire nation is greeted with festivity. The government offices, private buildings and most high rises are decorated with national flags and bunting and are brightly illuminated. On this day, all Thai citizens jointly express their gratitude to the king who graciously granted them an opportunity to take part in government the country.
With permission from : Thanapol Chadchaidee. (1994). Essays on Thailand. Bangkok : Thaichareunkanpem.

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

3/12/51

มาใช้ "สีบำบัด" กันดีกว่า

การใช้สีบำบัดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ สีโทนร้อนและสีโทนเย็น
กลุ่มสีโทนร้อน สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง
สีเหลือง ช่วยระบบย่อยผักผลไม้ที่มีสีเหลืองจะอุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันไข้หวัด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต พลังของสีเหลืองจะช่วยให้การทำงานของน้ำดีและลำไส้ป็นปกติ ทั้งช่วยระบบย่อยอาหารอีกด้วย นอกจากนี้สีเหลืองยังช่วยบำบัดอาการท้อแท้ได้ด้วย
สีส้ม ช่วยหอบหืด
ผักผลไม้ที่มีสีส้มอุดมไปด้วยวิตามินบี ช่วยสร้างเม็ดเลือด เผาผลาญแป้งและน้ำตาล บำรุงระบบประสาท หากคุณต้องการเรียกความกระตือรือร้นให้กลับมา สีส้มเป็นสีที่คุณควรมองหา
สีแดง สร้างเม็ดเลือด
ผักผลไม้ที่มีสีแดงจะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ทองแดงและเหล็ก สีแดงมีอิทธิพลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และรักษาอาการหวัด หากเมื่อใดที่คุณหมดกำลัง สีแดงจะช่วยเรียกกำลังใจคุณคืนมาได้
สีม่วง ปรับสมดุลของร่างกาย
ผักผลไม้ที่มีสีม่วงจะมีวิตามินดีมาก ช่วยเพิ่มพลังงานปรับสมดุลในร่างกาย สามารบำบัดโรคไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคผิวหนังบางชนิดรวมไปถึงโรคไขข้อได้ด้วย หากคุณมีปัญหาต้องขบคิดแนะนำให้หาสีม่วงมาไว้ใกล้ ๆ ตัว
กลุ่มสีโทนเย็น - สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า
สีเขียว ลดเครียด
ผักผลไม้ที่มีสีเขียวจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญมากมาย โดยเฉพาะวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยสมานแผล ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เพิ่มความต้านทานโรค หากคุณต้องการผ่อนคลายความตึงเครียด สีเขียวเป็นตัวเลือกที่ดีที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้
สีน้ำเงิน ลดความดันโลหิตสูง
พลังของสีน้ำเงินจะส่งผลให้ระบบหายใจของเราเกิดความสมดุล ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ทั้งยังช่วยคลายความเหงาใจได้
สีฟ้า บรรเทาโรคปอด
พลังของสีฟ้าสามารถช่วยรักษาโรคปอด ลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน รักษาอาการเจ็บคอได้ด้วย
สีแต่ละสีมีพลังอำนาจเฉพาะตัว หากคุณอยากใช้วิธีสีบำบัด ควรศึกษาและเรียนรู้ถึงวิธีการใช้สีบำบัดอย่างถูกต้อง ก่อนนำไปใช้จริง

10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ ยืดกล้ามเนื้อทันทีหลังการออกกำลังกายแบบแอโรบิค การยืดกล้ามเนื้อขณะที่กล้ามเนื้อยังอบอุ่นและยืดหยุ่น จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บ
2. ใช้น้ำหนักมากเกินไปขณะยกน้ำหนัก อย่าพยายามยกน้ำหนักมากเกินกว่าขีดความสามารถของกล้ามเนื้อ การยกน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไปมีประโยชน์และปลอดภัยมากกว่ากับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
3. ไม่อบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย กล้ามเนื้อต้องมีการปรับตัวก่อนออกกำลังกาย จึงควรเริ่มออกกำลังกายช้า ๆ แล้วเพิ่มความหนักเมื่อร่างกายปรับตัวแล้ว

4. ไม่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย หลังการออกกำลังกายทุกชนิด ใช้เวลา 2 – 3 นาทีในการลดอัตราการเต้นของหัวใจและยืดกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมความยืดหยุ่นและเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกายอื่น ๆ

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป การออกกำลังกายในระดับปานกลาง โดยใช้เวลาออกกำลังกายนาน มีประสิทธิภาพมากกว่าการออกกำลังกายอย่างหนัก โดยใช้ระยะเวลาเพียง 2 – 3 นาที

6. ดื่มน้ำน้อยเกินไป อย่ารอจนกระหายน้ำจึงดื่มน้ำ เพราะหมายความว่าขณะนั้นร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ พกกระติกน้ำติดตัวตลอดเวลาที่ออกกำลังกายและตลอดวัน

7. ทิ้งน้ำหนักบนเครื่อง Stairstepper มากเกินไป การทิ้งน้ำหนักลงบนเครื่อง Stairstepper อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ข้อมือและหลัง ลดความหนักของเครื่องจนถึงระดับที่คุณสามารถรักษาท่าทางได้ดี และสามารถวางมือบนที่พักมือได้โดยไม่ทิ้งน้ำหนัก

8. ออกกำลังกายเบาเกินไป ควรออกกำลังกายในระดับที่หนักพอให้เหงื่อออก และอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในอัตราที่เหมาะสมกับเป้าหมายของการออกกำลังกาย

9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก ในขณะที่คุณออกแรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก กล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ จะกระตุกไปด้วย และอาจทำให้กล้ามเนื้อตึง หรือบาดเจ็บได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังเป็นส่วนที่เปราะบางมาก ควบคุมน้ำหนักที่ยก อย่าให้น้ำหนักควบคุมคุณ!

10. ทาน Energy bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลาง