20/2/52

ผู้นำไทย-อินโดฯ เห็นพ้อง แก้ปัญหาโรฮิงญาระดับภูมิภาค


ผู้นำไทย-อินโดฯ เห็นพ้อง แก้ปัญหาโรฮิงญาระดับภูมิภาค (ไทยรัฐ)
ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในระหว่างการเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 20-21 ก.พ. โดยในช่วงเช้า วันนี้ (21 ก.พ.) นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชน และจะเดินทางไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อกล่าวสุนทรพจน์และเยี่ยมชมสำนักงาน เวลา 13.05 น. นายกรัฐมนตรี และ คณะเดินทางออกจากกรุงจาการ์ตา เที่ยวบินที่ TG434 และ เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 16.35 น. สำหรับ เมื่อวานนี้ (20 ก.พ.) นายกรัฐมนตรี ได้พบปะทวิภาคีกับประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยุดโดโยโน ของอินโดนีเซีย โดยกล่าวหลังหารือว่า ผลการหารือเต็มคณะร่วมกันเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง เพราะทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การขยายตัวในเรื่องของการค้าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก เรื่องที่ได้หารือจะมีเรื่องหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทวิภาคี และการทำงานในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ ในประเด็นทวิภาคี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ต้องการขยายการค้าการลงทุน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้มีการพูดถึงลู่ทางดังกล่าวหลายช่องทาง ที่จะสามารถทำให้เกิดการขยายตัวได้ ประการแรกคือข้อตกลงทางการค้า ซึ่งกำลังจะดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อยุติ เพื่อให้การค้าการลงทุนมีความสะดวกมากขึ้น 2. ความร่วมมือในกรอบสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ยังสามารถขยายไปได้อีก โดยเฉพาะสิ่งที่ไทยได้เสนอไป คือ หากมีการเชื่อมโยงการเดินทางทางอากาศ คือ เที่ยวบินที่เชื่อมโยงในพื้นที่สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ก็น่าจะเป็นช่องทางหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มพูนเรื่องการค้าการลงทุนได้ 3. ปัญหาการประมง หลังจากที่อินโดนีเซียมีการปรับกฎระเบียบ ก็มีผู้ประกอบการ และชาวประมงของไทย ที่ต้องการจะเข้าไปทำการประมงในอินโดนีเซีย ซึ่งแนวทางขณะนี้คือ ภายใต้กฎระเบียบนั้น ก็คือ การจะเข้ามาในลักษณะของการร่วมทุน ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของสินค้าประมง และที่ได้เสนอกันมา และตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ ขั้นตอนจากนี้ไปคงหากรอบความร่วมมือโดยเฉพาะการร่วมทุน และหาผู้ที่สนใจจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนการลงทุนทั้งสองฝ่าย ทั้งในด้านการแปรรูป และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ชาวประมงไทยมีโอกาสมากขึ้นในอินโดนีเซีย
ในด้านการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะขยายไปถึงความร่วมมืออื่นๆ มีการพูดถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน การขยายความริเริ่มเชียงใหม่ และข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้เงินสำรองเข้ามารวมกัน เพื่อเป็นช่องทางในการช่วยเหลือประเทศในภูมิภาค ที่มีความจำเป็นในด้านการเงิน ขณะเดียวกันไทยและอินโดนีเซียจะไปประชุม G 20 ที่ลอนดอน และได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ซึ่งมีความเห็นที่ตรงกันว่า ต้องการไปส่งสัญญาณให้ชัดว่า การแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของทุกประเทศ นั้นต้องไม่นำไปสู่เรื่องของการกีดกันทางการค้า และต้องคำนึงเรื่องของการรักษาการไหลเวียนทั้งเงินทุน การค้า และการลงทุนของประเทศกำลังพัฒนาด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงปัญหาภาคใต้ของไทย ซึ่งอินโดนีเซียมีส่วนสำคัญในการช่วยอธิบาย ให้กับ OIC ให้เข้าใจสภาพปัญหาที่แท้จริง ทั้งนี้ อินโดนีเซียได้ยืนยันว่า ได้ให้การสนับสนุนแนวทางการทำงาน แก้ไขปัญหาของไทย และถือว่าเป็นปัญหาภายใน ทำให้การทำงานของไทยสะดวกขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโรฮิงญา ได้เห็นตรงกันว่า เป็นปัญหาที่ต้องแก้ในระดับภูมิภาค จึงสนับสนุนให้นำเรื่องดังกล่าว สู่กระบวนการบาหลี และนำไปปรึกษาในกรอบอาเซียน หรือมีการจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาระหว่างประเทศที่ได้รับผลกระทบ หรือเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ และว่าไทยพร้อมให้ตรวจสอบ และไม่ขัดข้องที่จะให้ยูเอ็นเอชซีอาร์ เข้าดูแลทั้งนี้เห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน ซึ่งไทยและอินโดนีเซีย จะหารือปัญหาโรฮิงญาร่วมกันในเดือนมีนาคมนี้

ฝึกสมอง..ให้เป็นคนเก่ง

อย่าทำงานซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกันเพราะอาจเกิดการผิดพลาดได้ง่าย นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย
"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนักประสาทวิทยาชาวสวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่าคนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้องใช้สมองจนเกินกำลังหรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน
Multitasking คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจและระหว่างทางครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลงต่างๆ คุยโทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย แต่การทำงานหลายๆอย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมลล์ผิดให้กับคู่เจรจา ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทำงานหรือธุระใดๆก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกันเพื่อป้องกันการผิดพลาด
สัญชาตญณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและออกความเห็นในที่ประชุม โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิต ที่มีเงื่อนไขของเวลาเป็นเรงกดดันในการตัดสินใจ นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาตญาณที่เรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็นจากผู้ใหญ่ที่มีความรู้และประสบการณ์จะดีกว่า
กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง หากจำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทันความจำเป็นของคุณ สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือกาแฟสักหนึ่งถ้วยลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น เพื่อนร่วมงานของคุณก็คงจะยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้สูดกลิ่นกาแฟไปด้วยการแข่งขันกระตุ้นสมอง ถ้าเรารู้ว่าเราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า "ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอลล์ในประเทศเยอรมนี โดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน หากใครตอบถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รับรางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม
สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆอย่างประเดประดังเข้ามาใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานยาก สมองก็จะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำเป็นประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆบ้าง เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่าโครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆและกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองทำให้แข็งแรงขึ้น และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆด้วยซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ
สมองทำงานเหมือน Google จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ ศูนย์ความคิดของคนเราจะทำหน้าที่คล้ายๆกับ Google คือคิดตามลำดับ เช่น 1 2 3
สมองต้องออกกำลัง แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้ เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง

12/2/52

การทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว

ผู้ทำบุญโดยส่วนมาก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพื่ออุทิศแก่ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น ชาวพุทธมีดีตรงนี้แหละ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย แล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้น ถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว คนเราก็จะกลายเป็นเดรัจฉานไปหมด การทำความดี คือ บุญกุศลนี้ย่อมทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ทำในที่เปิดเผย ไม่ทำในที่ลับด้วยและทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เหมือนกับคนที่ทำความชั่ว ทำความชั่วนั้นทำด้วยความเศร้าหมองไม่ผ่องใส และก็ทำในที่ลับไม่เปิดเผยด้วย ทั้งไม่อุทิศส่วนบาปนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ถึงแม้อุทิศให้แก่ใครก็ไม่มีใครอยากรับ เพราะเป็นของเศร้าหมอง ทำบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้วนี้ จงทำด้วยของบริสุทธิ์อย่าไปฆ่าเป็ด ไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายมาทำ จะบาปหนักเข้าไปอีกทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจผ่องใสบริสุทธิ์ เป็นต้นว่าตักบาตรถวายอาหารพระสงฆ์ บุญก็มากเอง บุญมิใช่เกิดเพราะไทยทานมากๆ แต่เกิดขึ้นจากใจเลื่อมใสศรัทธาต่างหาก เปรียบเหมือนเทียนที่เรามีอยู่แล้วไปขอต่อจากคนอื่น เทียนของคนอื่นก็ไม่ดับ ของเราก็ได้ไฟสว่างมา เหตุนั้นบุญในพุทธศาสนาจึงหมดไม่เป็น คนมากี่ร้อย กี่พันเอาหัวใจของตนมาตักตวงเอาบุญในพุทธศาสนานี้ ก็ไม่มีหมดบุญยังเต็มเปี่ยมอยู่ตามเดิม ถ้าทำด้วยความเลื่อมใสแล้ว วัตถุทานมีน้อยก็กลายเป็นของมากเอง

วาเลนไทน์ในยุคก่อน


วาเลนไทน์เดย์ยุคก่อน (ขำขันไม่เบา) ถ้าพูดถึงวันวาเลนไทน์แล้ว ทุกคนคงจะนึกถึงใครสักคน ที่เป็นคนพิเศษในใจคุณ มีการส่งดอก กุหลาบ บัตรอวยพร ช็อกโกแลต สัญลักษณ์แห่งความหอมหวาน ไปให้คนที่ตนรัก แต่ถ้าย้อนยุคไป สมัยก่อน ชาวโรมันโบราณ ฉลองวันวาเลนไทน์ มานานหลายพันปี ด้วยการจัดงานควบคู่ไปกับงาน ฉลองเก็บเกี่ยวพืช โดยให้หญิงส าวสวมหน้ากาก รูปหมาป่า คอยเวลา ถูกกลุ่มชายหนุ่มรูปหล่อ นุ่งผ้าเตี่ยว เอาแส้โบย ชาวโรมันจัดงานรื่นเริงเช่นนี้ทุกเดือน ก.พ.ของทุกปี จนกระทั่งถึง ค.ศ.45 พระสันตะปาปาพระองค์หนึ่ง มีบัญชาให้เลิก แต่ทุกวันนี้ ประเพณีเฉลิมฉลองเทศกาล วาเลนไทน์ ของชาวมะกะโรนีแล ะกรีซยังมีอยู่ ชายหนุ่มยังเฆี่ยนตีหญิงสาวอยู่ แต่ใช้แส้พลาสติกแทน ซึ่งสร้าง ความสนุกสนาน ร่าเริงมากกว่า
อย่างไรก็ตาม คนโรมันโบราณ ในวันแห่งความรัก ถ้าจะให้คู่รักมีอารมณ์โรแมนติก จะต้องเปิบนอ ฮิบโปโปเตมัส และดวงตาตัวไฮอีน่า ไม่ได้อธิบายคุณสมบัติ ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น นอกจากนี้ยังเผยว่า "ผลส้ม" เป็นสัญลักษณ์ วันวาเลนไทน์ ชาวยุโรปรุ่นก่อนเล่าว่า ส้มเป็นผลไม้ บำรุงสมรรถนะทางเพศ สร้างอารมณ์โรแมนติก และความพึงพอใจทางเพศ หากใครต้องการให้ คู่รักหลงใหล ต้องใช้เข็มแทงผลส้ม แล้วนำไปใส่ใต้รักแร้ นอนหลับหนึ่งคืนรุ่งเช้า ใครกินผลส้ม เข้าไป จะตก หลุมรักเจ้าของในทันที (ใครกล้ากินจริง ก็คงเรียกว่าหลงรัก หน้ามืดตามัวเลยนะเนี่ย) อย่างไรก็ตามเรื่องส้มนี้ จีนโบราณถือเป็นยากระตุ้นเซ็กซ์ จักรพรรดิจีน ชวนนางสนมเอกช่วยกัน หั่นส้มชิ้นบางๆ พร้อมกับโปรยดอกส้ม ทั่วเตียงบรรทม สำหรับผลไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ วันวาเลนไทน์ อื่นๆ ก็มีผลอาร์ทิโชคมีใบเป็นหนาม กล้วย และพืชจำพวกไทรมีผลคล้ายแพร์ ซึ่งเชื่อว่าช่วยบำรุง สมรรถภาพทางเพศ สมัยก่อนมีข้อห้าม การใช้ช็อกโกแลต ฉลองวันวาเลนไทน์ เพราะมันกระตุ้นต่อม น้ำลายมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้มีการพัฒนา นำดอกกุหลาบ และช็อกโกแลตมาใช้ฉลอง จนถึงปัจจุบัน เหล่านี้คือแง่มุมหนึ่งของวันวาเลนไทน์ในอดีต
Love หรือ รัก คำนี้ดูเหมือนจะเป็นคำ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แทบจะมากที่สุดเลย ก็ว่าได้ ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แม้ว่าอะไรๆจะเปลี่ยนไปก็ตาม แต่เจ้าความรักนี่ ดูเหมือนจะ ไม่รู้จักคำว่าล้าสมัย เอาซะเลย ความรักทำให้คนเรา เป็นคนมากขึ้น มีอารมณ์ มีความรู้สึก มีความคิด และอะไรต่างๆอีกมากมาย ที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่ออยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความรัก แต่ถ้าคนเรา ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ เมื่ออยู่ในความรัก อาจจะเกิดผลเสีย มากกว่าผลดีก็ได้ เพราะฉะนั้น "จงรักให้เป็น" อย่าให้ความรักมีอำนาจเหนือตัวเรา
เช็กสเปียร์เคยกล่าวไว้ว่า "The course of true love never ran smooth. But if you can hold to the course, you can surmount the obstacles that life puts in theway" "ความรักย่อมมีอุปสรรค แต่อุปสรรคจะทำให้รักเรา มีความหมายมากขึ้น" อย่าท้อแท้กับความรักนะครับ......

ใครที่กำลังจะซื้อช็อกโกแล็ตให้กับหวานใจในวันวาเลนไทนน์นี้ จะให้ถูกใจต้องมาดูกันก่อนว่า หวานใจของคุณเกิดในราศีอะไร คราวนี้จะได้ซื้อช็อกโกแล็ตได้ถูกใจคนรับ
> ราศีเมษต้องเลือกแบบที่หรูหราหน่อย เพราะชาวราศีเมษต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเสมอสำหรับพวกเขา
> ราศีพฤษภชาวราศีพฤษภชอบช็อกโกแล็ตที่ใจกลางนุ่ม เช่น สอดไส้คาราเมลนี่เลิฟอย่าบอกใครเชียว
> ราศีเมถุนชาวราศีเมถุนจะชอบช็อโกแล็ตที่พกไปทานได้ง่ายๆ เพราะเป็นคนไม่อยู่กับที่ ชนิดที่เป็นแบบเม็ดเล็กๆ แล้วกดออกมาทานทีละนิดจะเวิร์กมาก
> ราศีกรกฎ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแล็ตแบบไหน ชาวราศีกรกฎก็ชอบไปหมด เรียกว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่ได้รับ
> ราศีสิงห์ มีเคล็ดนิดหน่อยเวลาจะให้ช็อกโกแล็ตชาวราศีสิงห์ คุณต้องมีวิธีการให้แบบเซอร์ไพส์ หรือจู่โจมถึงจะสร้างความประทับใจได้
> ราศีกันย์ คุณต้องแน่ใจว่าช็อกโกแล็ตที่จะให้สะอาด แสดงส่วนผสมชัดเจน และอยู่ใน***บห่อสวยงาม แล้วก็ต้องเป็นแบบที่เก็บไว้ได้นานาๆ ด้วยเพราะเขาจะกินมันครึ่งนึง แล้วเก็บที่เหลือไว้ในตู้เย็นอีกเป็นเดือน
> ราศีตุลย์ ชาวราศีตุลย์ชอบอะไรๆ ที่เป็นคู่ ดังนั้นคุณควรสร้างความประทับใจ ด้วยการหาซื้อช็อกโกแล็ตให้เขากล่องหนึ่ง แล้วก็สำหรับตัวเองเหมือนกันอีกกล่องด้วย
> ราศีพฤศจิกชาวราศีนี้เป็นคนที่ชอบกินช็อกโกแล็ตมาก โดยเฉพาะแบบที่ค่อนข้างเหลวหน่อย เพราะมีวิธีการกินที่ไม่เหมือนใคร ต้องค่อยๆ เลียเหมือนกินไอศครีม
> ราศีธนูชอบช็อกโกแล็ตแบบฝรั่งเศสเป็นที่สุดเลย ไม่รู้ว่าแบบฝรั่งเศสเป็นยังไงก็เลือกดูที่ Made in France แล้วกัน
> ราศีมังกรพวกนี้ชอบแต่ของที่ดีที่สุด และก็แพงที่สุดเท่านั้น ประเภทว่าถ้าไม่เริ่ดที่สุดก็ไม่มีทางแล
> ราศีกุมภ์ ไม่ต้องเอาอันที่ใหญ่มากนักหรอกนะ เล็กๆ ก็พอ ชาวราศีนี้ชอบอะไรที่ค่อนข้างจะกุ๊กกิ๊กน่ารัก
> ราศีมีนชาวมีนชอบช็อกโกแลตแบบที่มีรวมกันหลายรสหลายแบบ เพราะเป็นคนชอบแบ่งให้คนอื่นกินได้ด้วย

วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก


เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ
เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” . วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...